กิ้งก่า มังกรเครา

กิ้งก่า มังกรเครา (Bearded dragon) มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย กระจายพันธุ์ในแถบทะเลทรายที่มีภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสลับเนินทราย และมักหากินและอาศัย…

ถิ่นกำเนิด

มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย กระจายพันธุ์ในแถบทะเลทรายที่มีภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสลับเนินทราย และมักหากินและอาศัยอยู่บนพื้นมากกว่าบนต้นไม้

ลักษณะทางกายภาพ

น้องเป็นสัตว์เลื้อยคลาน จัดอยู่ในตระกูลเดียวกับกิ้งก่า(Agamidae) มีลักษณะทางกายภาพที่โดดเด่นจากกิ้งก่าทั่วไป เรียกได้ว่ามองแว๊บเดียวก็รู้เลยว่า ไม่ใช่กิ้งก่าธรรมดา สังเกตได้ง่ายๆจากสีและลวดลายบนลำตัว โดยปกติแรกเริ่มตามธรรมชาติ น้องจะมีลำตัวสีน้ำตาลสลับครีม แต่ปัจจุบันเนื่องจากได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ทำให้เกิดการผสมพันธุ์เพื่อให้ได้สีสันและลวดลายต่างๆขึ้นเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้บนลำตัวของน้องยังมีลักษณะเป็นเกล็ดและหนามแหลม ซึ่งเอาไว้ใช้ป้องกันตัวในกรณีที่ถูกล่า และจะมีจุดเด่นที่สังเกตได้ชัดอีกหนึ่งที่ คือบริเวณใต้คาง จะมีถุงที่เป็นหนาม ซึ่งมักจะแผ่ขยายเป็นสีดำเวลาที่เกิดอาการตกใจ ตื่นเต้น ต่อสู้ หรือเกี้ยวตัวเมีย เนื่องจากมีลักษณะคล้ายเครา จึงเป็นที่มาของชื่อ “มังกรเครา” นั่นเอง

เมื่อโตเต็มวัยจะมีความยาววัดจากหัวไปหางอยู่ที่ขนาดประมาณ 16-18 นิ้ว อายุขัยตามธรรมชาติส่วนใหญ่จะมีอายุตั้งแต่ 3-6 ปี อายุขัยที่มนุษย์นำมาเลี้ยงและดูแลแบบทั่วไปมีอายุอยู่ที่ประมาณ 4-7 ปี และบางตัวที่มีสุขภาพแข็งแรงและมนุษย์นำมาเลี้ยงดูเป็นอย่างดี อาจมีอายุยืนได้ถึง 14 ปีเลยก็เป็นได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูและสภาพแวดล้อมด้วย 

เมื่ออายุ 8-12 เดือน จะมีความพร้อมในการผสมพันธุ์ ซึ่งตัวผู้สามารถผสมพันธุ์กับตัวเมียได้หลายตัวตลอดฤดูผสมพันธุ์ ส่วนตัวเมียเมื่อได้รับการผสมพันธุ์ เพียงหนึ่งครั้ง จะสามารถตั้งท้องเองได้อีก 2-4 ครั้ง โดยแต่ละครั้งจะใช้เวลาตั้งท้องราว 20-28 วัน โดยก่อนคลอดตัวเมียจะอดอาหาร 2-4 วัน จากนั้นจะขุดหลุมทรายเพื่อเข้าไปไข่ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 ฟองต่อการคลอดหนึ่งครั้ง โดยรวมแล้วใช้เวลาทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 65 วัน โดยอุณหภูมิระหว่างฟักตัวจะเป็นการกำหนดเพศของน้อง

ลักษณะนิสัย

มังกรเคราเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย มีนิสัยที่เชื่อง ไม่ดุร้าย เข้ากับคนได้ง่าย สามารถจับเล่น และป้อนอาหารจากมือได้ แต่ถ้าเป็นเด็กเล็กอาจจะต้องได้รับคำแนะนำและการดูแลของผู้ใหญ่อย่างใกล้ชิด อีกอย่างน้องมีนิสัยรักสันโดษ ชอบอยู่ตัวเดียว ไม่ชอบอยู่รวมกลุ่มกับตัวอื่น เนื่องจากเป็นสัตว์ที่หวงอาณาเขตมาก

แหล่งซื้อและวิธีการเลือกซื้อ 

ปัจจุบันสามารถหาซื้อได้ตามร้านจำหน่ายสัตว์เลี้ยง หรือจากผู้เพาะพันธุ์โดยตรง ซึ่งปัจจุบันมีผู้เพาะพันธุ์ขายเป็นจำนวนมาก 

วิธีการเลือก ให้เลือกตัวที่มีความยาวมากกว่า 15 เซนติเมตร และให้เลือกตัวที่ตื่นตัว ดวงตาสดใส  ไม่ง่วงซึม และไม่มีบาดแผลหรือความพิการใดๆ แนะนำว่าหลังจากซื้อมาแล้ว ควรพาน้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาพยาธิ หรือโรคต่างๆ เป็นการประเมินสุขภาพน้องก่อนเริ่มเลี้ยงไปในตัวค่ะ

.

อาหาร 

เบียร์ดดราก้อนเป็นสัตว์ที่กินได้ทั้งพืชและสัตว์ 

  1. อาหารเริ่มแรกตอนที่เบียร์ดดราก้อนยังเล็ก แนะนำผู้เลี้ยงให้อาหารที่มีขนาดจิ๋ว เช่น แมลงหรือจิ้งหรีดที่มีขนาดเล็กมากๆ
  2. เมื่อเริ่มโตขึ้นมาช่วงอายุประมาณ 2-4 เดือน (ช่วงวัยรุ่น) ให้ผู้เลี้ยงเริ่มผสมผักสีเขียวเข้ามาเป็นอาหาร ในอัตราส่วนผัก 20% แมลงขนาดเล็ก 80% เพื่อให้น้องค่อยๆได้รับแคลเซียมจากผัก โดยการให้อาหารให้กับน้องที่อายุยังน้อยควรจะให้ครั้ง 2-3 ครั้งต่อวัน
  3. เมื่อน้องโตพอสมควรให้แบ่งสัดส่วนการกินเป็นพืชผัก 60% และเหยื่อต่างๆในอัตราส่วน 45% โดยพืชผักสีเขียวที่เสริมแคลเซียมให้กับน้อง ได้แก่ ผักสลัด กะหล่ำใบ ผักกาดหอม และผักอื่นๆ

ส่วนแมลงและเหยื่อต่างๆที่สามารถให้น้องทานได้วันละครั้ง ได้แก่ จิ้งหรีด หนอนยักษ์ หนูแดง เป็นต้น

ผู้เลี้ยงสามารถให้น้องทานผลไม้ได้เป็นครั้งคราวเพื่อเสริมวิตามินให้น้อง ผลไม้ที่สามารถทานได้ ได้แก่ แอปเปิ้ล กล้วย แคนตาลูป มะละกอ 

อุปกรณ์การเลี้ยง

  1. กรงหรือตู้ขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่กว้าง เพื่อให้น้องสามารถปีนป่ายได้ และควรเป็นกรงหรือตู้ที่ทำประตูเปิด-ปิดเป็นแบบมุ้งรวด เพื่อให้สามารถระบายอากาศได้ดี
  2. ถาดหรือถ้วยที่มีรูปทรงตื้น เพื่อเอาไว้ใส่อาหารและน้ำให้น้อง
  3. หลอดไฟ หากเลี้ยงน้องไว้ในบ้านหรือพื้นที่ที่แดดส่องไม่ถึง ควรจัดหาหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ที่มีรังสี UV อย่างน้อย 5% ติดให้ห่างจากสัตว์เลี้ยงโดยมีระยะห่างอยู่ที่ 10-12 นิ้ว และไม่ควรอยู่ห่างเกิน 18 นิ้ว จากบริเวณที่น้องชอบอยู่ น้องควรได้รับรังสี UV ประมาณ 12-14 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อช่วยในเรื่องการผลิตวิตามินดีและช่วยในเรื่องการดูดซึมแคลเซียมได้เป็นอย่างดี เพื่อป้องกันการเกิดโรคที่เกี่ยวกับกระดูก อย่างไรก็ดีพระอาทิตย์ก็ยังเป็นแหล่งการรับแสง UV ธรรมชาติที่ดีที่สุดของน้องอยู่ดี ฉะนั้นวันไหนที่มีแดดจ้า ผู้เลี้ยงสามารถพาน้องออกมารับแดดกลางแจ้งได้ พร้อมกับกรงที่มีฝาปิดที่มิดชิด ระบายอากาศได้ดี และมีที่หลบแดดให้น้องในตัวด้วย 

วิธีการเลี้ยงและข้อควรระวัง

1. เนื่องจากน้องเป็นสัตว์รักสันโดษและหวงอาณาเขต ไม่มีความรู้สึกรักหรือผูกพันกับกิ้งก่าตัวใด ไม่ว่าจะเป็นทางด้านสายเลือดหรือมิตรภาพความเป็นเพื่อน ควรเลี้ยงน้องแยกให้อยู่กรงใครกรงมัน เพื่อลดการปะทะและการต่อสู้

2. สามารถนำน้องมาอยู่กรงเดียวกันได้ต่อเมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ หากเห็นว่ามีการทับกันเกิดขึ้น ไม่ได้แปลว่ากำลังแสดงความรักใคร่หรือกำลังผสมพันธุ์ แต่เป็นการแสดงความเป็นใหญ่ของตัวที่แข็งแกร่งกว่าเพื่อประกาศอาณาเขตของตน เมื่ออีกตัวถูกทับบ่อย หรือถูกทับเป็นเวลานานๆ จะทำให้เกิดความเครียดและส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวได้ เช่น อาการขาดน้ำ ขาดสารอาหาร และซึม ฉะนั้นช่วงฤดูผสมพันธุ์ที่นำน้องมาอยู่ร่วมกัน ควรเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น

3. ดูอย่างไรว่าน้องมีความเครียด?

หากมีความเครียดน้องมักจะฉีดสีดำออกมาตรงบริเวณใต้ท้องเป็นเส้นลายวงๆ แต่ถ้าตัวไหนที่ใต้ท้องมีสีขาวโพน ไม่มีลายใดๆ นั่นแปลว่าน้องไม่มีภาวะความเครียดค่ะ 

4. กรงของน้องควรจะเป็นกรงที่น้องสามารถตากแดด และหลบแดดได้ เนื่องจากน้องเป็นสัตว์เลือดเย็น ไม่สามารถสร้างความร้อนเองได้ จึงจำเป็นต้องอาศัยแสงแดดความร้อนจากดวงอาทิตย์ช่วย จริงอยู่ว่าน้องสามารถตากแดดได้ตลอดทั้งวัน แต่ถ้าอุณหภูมิสูงมากๆแล้วตากตลอดทั้งวัน ไม่มีที่หลบแดดให้น้อง ก็อาจทำให้น้องช็อคแดดตายได้ 

5. น้องมีความสามารถในการกักเก็บน้ำไว้ในตัว เพราะฉะนั้นหากเห็นว่าน้องไม่ค่อยกินน้ำ ถือเป็นเรื่องปกติค่ะ ผู้เลี้ยงสามารถฉีดพ่นน้ำใส่อาหารก่อนให้น้องทานได้ค่ะ  แม้ว่าน้องจะไม่ทานน้ำโดยตรง แต่น้องสามารถกักเก็บน้ำจากการกินอาหารที่เราฉีดพ่นน้ำ หรือน้ำที่อยู่ในผักผลไม้ที่เราให้น้องได้ค่ะ

6. หากน้องไม่ทานข้าวและน้ำ ไม่ต้องตกใจนะคะ เพราะนั่นอาจจะเป็นช่วงเวลาที่น้องกำลังจะลอกคราบ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่น้องไม่ทานข้าวเป็นเวลานานกว่า 3 วัน และยังไม่แสดงท่าทีว่าจะลอกคราบนั่นแสดงว่าน้องกำลังป่วย ให้ผู้เลี้ยงรีบนำน้องพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาในทันทีค่ะ

เป็นอย่างไรบ้างคะ กับความรู้เกี่ยวกับเจ้ามังกรเคราที่แอดนำมาฝาก ต้องบอกเลยว่าใครคนไหนที่ชอบเลี้ยงสัตว์แปลกๆ ไม่ซ้ำใคร กิ้งก่ามังกรเครา ถือว่าเป็นสัตว์ที่น่าสนใจและกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย สีสันลวดลายสวยสด แถมยังเชื่อง และสามารถเพาะพันธุ์ขายทำให้เกิดรายได้ได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นสัตว์ที่ครบเครื่องจริงๆ รอบหน้าแอดจะพาไปรู้จักกับสัตว์เลี้ยงชนิดไหน จะแปลกอีกหรือไม่ อย่าลืมติดตามกันนะคะ 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *