การเลี้ยงปลาทองให้สวย อายุยืน

หากพูดถึงสัตว์เลี้ยงที่นิยมกันในบ้านเราลำดับต้นๆ ก็คงต้องนึกถึงหมา แมว และปลาสวยงาม เพราะเป็นสัตว์ที่ใกล้ชิดกับคนเรามากที่สุด ซึ่งในบรรดาปลาสวยงาม “ปลาทอง” หรือ Goldfish ถือว่าเป็นปลาที่ทุกคนแทบจะเคยเลี้ยงกันทั้งนั้น ด้วยความที่มีสีสันสวยงาม สีส้มไล่เฉดไปจนเหลืองทอง และชื่อที่เป็นมงคล ทำให้คนหันมาเลี้ยงกันเป็นจำนวนมาก บางคนสามารถนั่งเก้าอี้มองพวกมันได้ทั้งวัน อย่างไม่รู้เบื่อ แต่อาจจะไม่เข้าใจนิสัย สภาพแวดล้อมที่มันชอบอยู่อาศัย เลยทำให้เจ้าปลาทองของคุณตายบ่อย อยู่ไม่ได้นาน คอลัมน์ Home Story ครั้งนี้ เราจึงอยากนำเสนอ เทคนิคการเลี้ยงปลาทองให้สวย อายุยืน หวังว่าคงจะถูกใจคนรักปลาทองกันนะครับ มาดูวิธีการเลี้ยงกันเลย

1. ใช้น้ำที่ปราศจากคลอรีน หรือน้ำกรอง

หลายคนยังเข้าใจว่า การใช้น้ำประปามาเลี้ยงปลาปลาสวยงามเป็นวิธีที่ถูกต้องแล้ว ซึ่งก็ถูก…แต่ถูกต้องเพียงครึ่งเดียว แต่เราต้องอย่าลืมว่าน้ำประปาที่ไหลมาตามท่อส่งน้ำ และเข้าสู่ก็อกน้ำนั้นมีส่วนผสมของสารคลอรีน เพื่อฆ่าเชื้อโรค เป็นขั้นตอนการผลิตน้ำของการประปา ซึ่งคลอรีน จะทำลายเนื้อเยื่อตัวปลา รวมถึงครีบและหาง ทำให้ปลาว่ายน้ำไม่ได้ ตายในที่สุด วิธีที่ดีที่สุดคือ การใช้น้ำจากเครื่องกรองน้ำ หรือน้ำประปาที่ผ่านการกักไว้ประมาณ 3 วันขึ้นไป สารคลอรีนจะระเหย ก็สามารถนำมาเลี้ยงปลาได้

2. ติดตั้งเครื่องปั๊มลม เพิ่มออกซิเจนในน้ำ

การเลี้ยงปลาทอง หากเราเลี้ยงเพียง 3 – 5 ตัว ในภาชนะที่ใหญ่พอ เช่น ในอ่าง ตู้ปลา โหลแก้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องปั๊มลม เพิ่มอากาศ ออกซิเจนในน้ำ แต่ถ้าเลี้ยงจำนวนมาก ก็จำเป็นต้องใช้เครื่องปั๊มลม เพื่อให้มีการเคลื่อนไหวของน้ำ ออกซิเจนสามารถลงไปในน้ำได้มากพอสำหรับปลาทอง ซึ่งการเพิ่มอากาศนี้ จะช่วยให้ปลารู้สึกกะปรี้กระเปร่า เจริญเติบโตได้เร็ว

3. ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำ เมื่อน้ำขุ่นสกปรก

เมื่อสังเกตว่าน้ำที่ใช้เลี้ยงมีความสกปรก มูลสิ่งปฏิกูลเริ่มลอยบนผิวน้ำ หรือน้ำเริ่มขุ่นมองตัวปลาไม่ชัดเจน และมีกลิ่นคาวแรงกว่าปกติ ก็ควรรีบทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำให้สะอาด รวมถึงขัดตะไคร่น้ำตามผนังตู้ให้หมดจด เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค ซึ่งจะส่งผลให้ปลาทองป่วย มีเห็บปลามาเกาะตามตัวได้

4. ใส่ยาปรับสภาพน้ำ หรือเกลือแกงหลังเปลี่ยนน้ำใหม่

หลังจากเปลี่ยนถ่ายน้ำปลาทุกครั้ง ให้ใส่ยาปรับสภาพน้ำที่มีขายตามร้านขายปลาสวยงามทั่วไป จะเป็นยาน้ำสีฟ้าเข้มใช้หยดลงในตู้ปลา เพื่อปรับสภาพความเป็นกรดด่างให้เหมาะกับสภาพที่ปลาสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ และเป็นไปได้ให้ใส่เกลือแกงลงไปด้วย เป็นการฆ่าเชื้อโรค ป้องกันการเกิดโรคต่อปลา

5. ต้องให้อาหารเป็นเวลา อย่าให้อาหารในปริมาณมาก

สำหรับปลาทองนั้น เป็นปลาที่หลายคนบอกว่ามีความจำสั้น คือมักจะกินอาหารได้ตลอดเวลาจนตายเลยทีเดียว ดังนั้นเราควรให้อาหารกับมันเป็นเวลา อาจจะเช้า-เย็น ในแต่ละครั้งต้องให้ปลากินหมดไม่เหลือ แล้วจึงค่อยให้ใหม่ เพราะหากให้อาหารเยอะเกินไป อาจทำให้ปลาท้องอึด ว่ายน้ำหัวทิ่มเสียการทรงตัวได้ และยังทำให้น้ำเสียเร็วอีกด้วย ซึ่งอาหารปลาทอง ก็มีหลายชนิด เช่น ลูกน้ำ หนอนแดง ไส้เดือนน้ำ อาหารเม็ด

6. ไม่จับปลาขึ้นมาดูด้วยมือเปล่า

การจับปลาด้วยมือเปล่าขึ้นมาดูใกล้ๆ ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ปลาบอบช้ำได้ แต่ถ้าจำเป็นต้องตักขึ้นมา ก็ควรใช้กระชอนหรือตาข่ายสวิง จะปลอดภัยต่อปลามากที่สุด และไม่ทำให้ปลามีบาดแผลตามตัว จนติดเชื้อโรคอีกด้วย

7. แยกปลาที่มีอาการป่วยออกมารักษาจากปลาตัวอื่นๆ

ไม่ว่าใครต่างก็เจอกับปัญหาปลาเป็นโรค ป่วยกันทั้งนั้น เพราะปลาทองมักจะไวต่อสภาพอากาศ อย่างฝนตกอากาศเปลี่ยน ก็อาจจะเป็นโรคพุ่มพวงได้ คือ มีอาการเบื่ออาหาร มีขี้ขาวตามตัว ครีบและหาง หากเราพบว่ามีปลาป่วย ให้แยกปลาตัวนั้นออกมาจากปลาตัวอื่น เพื่อรักษาให้หาย ไม่อย่างงั้นปลาทุกตัวในตู้อาจจะป่วยหมดทุกตัวก้เป็นได้

8. ไม่ควรเลี้ยงปลาจำนวนมาก จนแน่นตู้เลี้ยง

การเลี้ยงปลาจำนวนมากในที่เดียวกัน เสี่ยงอย่างมากต่อการที่ปลาจะทำร้ายกันเอง ตัวที่แข็งแรงก็จะอยู่รอด ตัวอ่อนแอก็จะตายไป เพราะระบบนิเวศน์ไม่สมดุล ปลาจะแย่งอาหาร ออกซิเจน ซึ่งถ้าไม่เพียงพอจะเกิดอาการเครียด และตายไปเรื่อยๆ จนมีจำนวนปลาที่เหมาะสม ถึงจะหยุดการตาย

9. ควรเลี้ยงปลาทองอย่างเดียว ไม่รวมกับปลาชนิดอื่น

จริงๆ แล้วปลาทอง เป็นปลานิสัยรักสงบ ไม่ดุร้าย สามารถเลี้ยงรวมกับปลาชนิดอื่นได้ เช่น ปลาสอด ปลาหางนกยูง ปลากระดี่ ปลาเทวดา ฯลฯ แต่ก็มีปลาบางชนิดที่เลี้ยงรวมด้วยไม่ได้ คือ ปลาแพะ ปลาหมูอินโด ปลาซักเกอร์ เพราะปลาเหล่านี้จะชอบกินเศษอาหารตามพื้นตู้ ผนังตู้ มีโอกาสที่จะดูดปลาทองจนได้รับบาดเจ็บได้ ฉะนั้นแนะนำว่าให้เลี้ยงปลาทองประเภทเดียวจะดีกว่า

10. อยากให้ปลาตัวใหญ่ รูปทรงสวย ให้เลี้ยงในบ่อดิน

เราจะสังเกตว่าปปลาทอง ตามฟาร์มเพาะเลี้ยงจะมีขนาดใหญ่กว่า ปลาที่เลี้ยงในตู้ ก็เพราะฟาร์มจะเลี้ยงในปริมาณที่มาก จึงปล่อยเลี้ยงในบ่อ ซึ่งมีขนาดใหญ่ ปลาสามารถว่ายได้อย่างสบาย ทำให้ไม่เครียด แถมยังหาอาหารตามธรรมชาติกินเองได้ด้วย เช่น สาหร่าย หนอนแดง ที่มีโปรตีนมีส่วนช่วยให้ปลาเจริญเติบโตรวดเร็ว นอกจากนี้ปริมาณน้ำที่ลึกพอดี ยังช่วยให้ปลามีรูปทรงสวยตรงตามสายพันธุ์ หากใครอยากให้ปลาตัวใหญ่ ก็แนะนำให้เลี้ยงในบ่อปูน หรือบ่อดิน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของปลาด้วยว่าใหญ่ได้เต็มที่ขนาดไหน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *